รถยุโรปกับรถญี่ปุ่น รถสัญชาติไหนดีกว่า ต่างกันยังไง
ปัจจุบันตัวเลือกรถยนต์มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถยุโรป หรือ รถญี่ปุ่น ให้ผู้คนได้เลือกซื้อรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการ รถยุโรปกับรถญี่ปุ่นเป็นรถ 2 สัญชาติที่มีจำหน่ายในปัจจุบันเป็นหลัก ๆ หากต้องการซื้อรถยนต์สักหนึ่งคันควรเลือกซื้อรถยุโรปหรือรถญี่ปุ่น แบบไหนดีกว่ากัน มีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราได้รวบรวมคำตอบและข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากกัน
รถยุโรป
หากพูดถึงรถยนต์หรูดีไซน์แพงก็ต้องเป็นรถยุโรป ซึ่งรถยุโรปเป็นเหมือนรถในฝันของใครหลาย ๆ คน รถยุโรปส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น BMW, Mercedes-Benz, Lamborghini หรือ Porsche นอกจากความหรูหราแล้ว รถยุโรปยังมีข้อดีอีกมากมาย ดังนี้
รถยุโรป
-
ส่วนใหญ่รถยุโรปสร้างมลพิษน้อยกว่ารถญี่ปุ่น เพราะรถยุโรปให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาก และยังมีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพที่ดีอีกด้วย
-
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูหรูหราสวยงามแล้ว รถยุโรปยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยประดับฐานะของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
-
อะไหล่ของรถยุโรปมักจะมีความแข็งแรง คงทน และช่วงล่างจะมีความแข็งแรงแน่นหนึบอีกด้วย
-
รถยุโรปโดดเด่นในเรื่องเครื่องยนต์ ด้วยแรงม้าที่เหนือกว่า เหมาะกับใครที่ชอบขับแบบแรง ๆ เร็ว ๆ
ข้อเสียโดยทั่วไปของรถยุโรปก็คือราคาสูงกว่ารถญี่ปุ่นในฟังก์ชั่นของรถที่เท่ากัน นอกจากนี้ค่าบำรุงรักษารวมถึงการจัดหาอะไหล่ต่าง ๆ ก็มีราคาสูงกว่ารถญี่ปุ่นอีกด้วย
รถญี่ปุ่น
รถญี่ปุ่น
รถญี่ปุ่นถือว่าเป็นรถแบบทั่วไปที่รู้จักกันดีในตลาดรถยนต์ในไทย มีหลายแบรนด์ที่รู้จักกันดีอย่าง Toyota, Lexus, Honda, Nissan, Mitsubishi, Mazda, Isuzu, Suzuki และ Subaru แม้ว่ารถญี่ปุ่นโดยทั่วไปแล้ว ความหรูหราต่าง ๆ อาจไม่สามารถเทียบเท่ากับรถยุโรปได้ แต่ก็มีข้อดีอย่างอื่นมากมาย ดังนี้
-
รถญี่ปุ่นโดดเด่นเรื่องของการประหยัดน้ำมัน เพราะมีหลายรุ่นที่เป็น eco car นอกจากนี้ยังมีรถไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
-
รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีราคาที่ประหยัดและมีความคุ้มค่ามากกว่าเพราะมีโรงงานผลิตที่ไทย ดังนั้นการบำรุงรักษาหรือการจัดซื้ออะไหล่สามารถหาได้ง่ายและมีราคาไม่แพงมาก และรถญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมมากในไทย และสามารถขายต่อมือสองได้ในราคาดี
-
ปัจจุบันรถญี่ปุ่นมีรูปแบบรถที่หลากหลายทั้งรถยนต์ 4 ประตู รถยนต์ 7 ที่นั่ง รถกระบะ และก็มีการปรับเปลี่ยนและดีไซน์ให้สวยดูและสปอร์ตขึ้นในหลาย ๆ รุ่น
-
รถญี่ปุ่นสามารถขายต่อมือสองได้ในราคาดี
ข้อเสียของรถญี่ปุ่นก็คือนอกจากอาจจะสู้ความหรูหราของรถยุโรปไม่ได้แล้ว รถญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไปยังมีการใช้อะไหล่และวัสดุที่อาจไม่ทนทานเท่ารถยุโรป และช่วงล่างหรือความแรงอาจจะยังสู้กับรถยุโรปไม่ได้เช่นเดียวกัน
เปรียบเทียบรถยุโรปกับรถญี่ปุ่น
-
ดีไซน์รถ
รถญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเน้นดีไซน์ที่เรียบง่ายเน้นไปที่การใช้งาน แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาดีไซน์ให้ดูหรูหรา และสปอร์ตมากขึ้น ส่วนรถยุโรปจะขึ้นชื่อในเรื่องความโดดเด่นของตัวรถที่มีความโฉบเฉี่ยว ดูแปลกตา และส่วนใหญ่เน้นไปที่ทรงสปอร์ต นอกจากนี้ก็มีบางรุ่นที่เน้นความเรียบง่ายและความคลาสสิค
-
ราคา
เมื่อเปรียบเทียบราคาของรถยุโรปกับรถญี่ปุ่น แล้วตั้งงบประมาณจำนวนหนึ่งจะเห็นได้ชัดว่าหากเลือกรถญี่ปุ่นจะได้รถที่เป็นตัวท็อป มีฟังก์ชันส์ครบ แต่ในขณะเดียวกันหากเลือกรถยุโรปอาจจะได้รถแบรนด์ดังแต่ก็สามารถซื้อได้เพียงแค่รุุ่นรถเริ่มต้นไม่ใช่ตัวท็อปของรุ่น และฟังก์ชันส์ต่าง ไ อาจจะไม่ครบครันอีกด้วย
-
ค่าบำรุงรักษา
หากเปรียบเทียบค่าบำรุงรักษาของรถยุโรปกับรถญี่ปุ่นจะเห็นว่ารถยุโรปมีค่าบำรุงรักษาต่อครั้งค่อนข้างสูงอย่างต่ำคือ 8-9 พัน ส่วนรถญี่ปุ่นมีค่าบำรุงรักษาแต่ละครั้งจะเริ่มต้นอยู่ที่ 2-3 พันบาทขึ้นไปเท่านั้น
-
ค่าเบี้ยประกันภัย
รถยุโรปนอกจากจะมีราคาสูงแล้วยังต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้นอีกด้วย เนื่องจากอะไหล่รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องสั่งนำเข้าและมีราคาสูง และต้องใช้ศูนย์หรืออู่เฉพาะ แต่รถญี่ปุ่นราคาค่าเบี้ยประกันจะเป็นราคาทั่วไปมีแผนกรมธรรม์ให้เลือกหลากหลายราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่นก็มี
ทั้งรถยุโรปกับรถญี่ปุ่นต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่าผู้ซื้อและงบประมาณในการซื้อรถยนต์ที่ต้องการ ใครจะเหมาะกับรถสไตล์ไหนมากกว่ากัน รถยุโรปหรือรถญี่ปุ่น ดังนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อรถสักคันก็ควรวางแผนและศึกษารถที่ต้องการซื้อก่อนให้ดี